แม้จะเข้าหน้าฝนแล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนยังคงขับรถไปเที่ยวกันตามปกติ แม้จะรู้ว่ามีอันตรายมากกว่าสภาพอากาศแบบอื่นๆ เนื่องจากฝนที่ตกลงมา จะทำให้ถนนลื่น เป็นเหตุให้ระยะในการหยุดรถยาวนานกว่าปกติ อีกทั้งทัศนวิสัยในการมองเห็นของผู้ขับขี่ยังลดลงอีกด้วย ดังนั้น เพื่อให้การขับขี่รถยนต์ในช่วงหน้าฝนมีความปลอดภัยมากขึ้น เราจึงมาแนะนำเทคนิคและเคล็ดลับดีๆมาฝากทุกท่านกัน
อย่าไว้ใจสภาพถนน
ควรจะจับพวงมาลัยให้เหมาะสมในตำแหน่ง 9 กับ 3 นาฬิกา รวมทั้งควรชะลอความเร็วและใช้รถในเกียร์ต่ำ พร้อมกับเปิดไฟหน้า แต่ควรเป็นไฟหน้าแบบต่ำ เพราะหากเปิดไฟสูงจะทำให้ทัศนวิสัยของผู้ที่ขับขี่สวนทางมาไม่ดีหรือคลาดเคลื่อนจนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
ขับรถให้ช้าลง
เพราะฝนที่ตกลงมาในช่วงแรกๆจะทำให้ถนนลื่น ผู้ขับขี่จึงควรขับรถด้วยความระมัดระวังและอย่าลืมทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าให้มาก เพราะหากมีเหตุการณ์ขับขันจะได้หยุดรถได้ทันและถ้าต้องการจะหยุดรถแนะนำให้ใช้เกียร์ต่ำ ห้ามเหยียบเบรคกะทันหัน เพราะจะทำให้รถลื่นไถลได้ ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงหน้าฝน
การตรวจสอบสภาพรถ
เช่น ระบบปัดน้ำฝนว่ายางใบปัดน้ำฝนมีอาการเปื่อยหรือไม่ อยู่ในสภาพปกติดีหรือเปล่า หัวฉีดน้ำ หัวฉีดกระจกมีอาการตันหรือไม่ รวมทั้งน้ำฉีดกระจก เผื่อใช้ในกรณีที่จำเป็นและระดับหม้อน้ำพักฉีดกระจก ควรเติมให้เต็มอยู่เสมอ เผื่อในกรณีที่คราบดินโคลนถูกซัดขึ้นมาบดบังทัศนวิสัยจะสามารถทำความสะอาดได้
ตรวจสอบระบบเบรค
ให้สังเกตดูว่ารถของคุณมีอาการเบรคผิดปกติแบบนี้หรือเปล่า เช่น เบรกตื้อคือ การเหยียบเบรคแล้วรู้สึกแข็งๆและเบรคไม่อยู่ / เบรคจมหรือเบรกต่ำคือ เวลาเหยียบไปแล้วจะจมมากกว่าปกติและจมลงไปเรื่อยๆ / เบรคติดคือ เหมือนเบรกทำงานอยู่ตลอดเวลา จนรถของเราวิ่งไม่สะดวก / เบรกแตกคือ อาการนี้อันตรายมาก หากไม่ได้รับการแก้ไข จะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
ซึ่งการเบรกแตกเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ อาการเบรครั่ว ส่วนประกอบหลุดหลวม สายอ่อนเบรคแตก ซึ่งอาการเบรคแตกที่สังเกตได้ง่ายคือ เวลาที่เหยียบเบรกลงไป จะจมจนติดพื้นและไม่สามารถจะชะลอความเร็วรถได้ หากเกิดอาการเช่นนี้ขึ้น ควรนำไปตรวจเช็คและแก้ไขโดยด่วน
ตรวจเช็คยางล้อรถ
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นความสึกของร่องยาง ความสูงของดอกยาง ทั้งสองยางล้วนมีผลต่อการรีดน้ำของยางหรือการสะบัดน้ำออกด้านข้างทั้งสองของแก้มยางในช่วงที่ต้องเผชิญกับฝนตก ซึ่งร่องยางหรือดอกบางควรเหลือไม่น้อยกว่า 1.5 – 2 มิลลิเมตร
วางแผนการเดินทาง
หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังสูงๆ ซึ่งเลนที่อยู่ติดฟุตบาทมักจะมีน้ำท่วมขังค่อนข้างมากกว่าบริเวณอื่น ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงที่จะขับเข้าใกล้ในบริเวณนี้ หากเป็นไปได้ควรขับชิดขวาหรือบริเวณเกาะกลางถนน หากไม่ทราบว่าน้ำในบริเวณนั้นมีความลึกเท่าใด ให้สังเกตระดับความลึกของน้ำจากรถคันหน้าหรือขอบฟุตบาทเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนก็ได้
เว้นระยะห่าง
ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะที่สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัย ซึ่งควรจะมีระยะประมาณ 10 – 15 เมตร เนื่องจากเวลาฝนตกจะทำให้ถนนลื่น ระยะเบรคจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการเบรครถกะทันหัน ไม่ควรลืมที่จะเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้น เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้หยุดรถได้ทัน
ใช้สัญญาณไฟ
การขับขี่ในช่วงหน้าฝนไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน ควรเปิดไฟหน้ารถควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้รถคันอื่นสามารถสังเกตเห็นรถของคุณได้ เพราะเวลาฝนตกหนักๆจะทำให้ทัศนวิสัยพร่ามัวง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ ส่วนไฟตัดหมอกหน้าหลัง ควรเปิดเมื่อมีฝนตกหนักจริงๆและควรปิดเมื่อฝนเริ่มเบาลงแล้ว
เหยียบเบรคอย่างมั่นคงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
รถสมัยนี้จะมีระบบป้องกันล้อล็อคหรือระบบเอบีเอสมาให้ ซึ่งสามารถช่วยบังคับทิศทางของพวงมาลัยได้ ทำให้ระยะเบรคสั้นลง อย่างไรก็ตาม ระบบเอชีเอสจะทำงานก็ต่อเมื่อมีการเหยียบเบรคกะทันหันอย่างรุนแรง แป้นเบรคจะมีอาการสั่นจนผู้ขับขี่สามารถรู้สึกได้ หากเกิดอาการแบบนี้ขึ้นก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะเป็นอาการปกติของระบบ แต่ควรเหยียบอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง เพื่อให้หยุดรถได้เร็วที่สุดในยามฉุกเฉิน
แต่ในกรณีที่รถไม่มีเบรคเอบีเอส หากไม่จำเป็นก็อย่ากระแทกเบรคแรงๆ แต่ควรละเบรคเล็กน้อย เพื่อให้ล้อคลายการล็อค จะทำให้ผู้ขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้นในการใช้ถนนในช่วงหน้าฝน
นอกจากนี้ ในกรณีที่ฝนตกหนักมากๆจนไม่สามารถขับขี่ต่อไปได้ แนะนำว่าควรแวะจอดตามจุดพักรถหรือบริเวณที่ปลอดภัยก่อนจะดีกว่า เมื่อฝนหยุดตกแล้วค่อยเดินทางต่อ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและคนที่รัก เมื่ออ่านจบแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติใช้กันด้วย เพราะคงไม่มีใครอยากเผชิญกับเหตุการณ์ฉุกเฉินบนท้องถนนอย่างแน่นอน